ทุกส่วนในบล็อกนี้ ไม่สงวนลิขสิทธิ์ อุทิศแล้วเพื่อปวงชน. Powered by Blogger.
RSS

ไม่ได้โม้นะ! ความไม่ได้เรื่อง ไม่ดี ห่วยแตก ของใครๆ นั้น มันยอดอยู่แล้วพวกเอ้ย

เฮ้นี่ มีใครกำลังคิดอยากจะทำให้ความ ไม่ดีในตัวเองทั้งหลาย ความไม่ได้เรื่อง ความห่วยแตก ฯลฯ ทั้งหลายในตัวเอง หมด หายไป บ้างหรือเปล่า? หรือใครที่ พยายามขจัดมันออกไปบ้างไหม? เช่น พยายามขจัดความทุกข์, ความเครียด, ความหมองเศร้า, ความหม่นหมอง ฯลฯ ออกไปอะไรแบบนั้น ไม่น่า พวกเอ้ย เอ็ง คิดผิดแล้ว ทุกอย่างมันคือธรรมะ ธรรม ชาติ อย่าไปปฏิเสธตัวเองเล้ย เอ็งน่ะ มี ความเลว, ทุเรศ, ห่วยแตก, ไม่ได้เรื่อง อะไรต่อมิอะไร ก็ช่าง นั่นแหละ ยอมรับ สิ่งที่ตัวเองเป็นซะ ทั้งหมด ทุกอย่างน่ะ แหละ เพาะอะไรละ? แหม ของดีทั้งนั้น เดี๋ยวจะโม้ให้ฟังแบบซุปเปอร์เม้าท์เลย


ตัวตนหลากมิติของคุณอาจกลายเป็นทาสซาตาน เมื่อคุณปฏิเสธมัน?


เฮ้แล้วฉันไปปฏิเสธมันตอนไหนละ? อ้าวก็ตอนที่เอ็งปฏิเสธส่วนที่ไม่ดี ในตัวเองน่ะแหละ เช่น ปฏิเสธความทุกข์, ความเศร้าหมองของตนเอง ที่ไหนได้ละ ความทุกข์ความเศร้าหมองนี่ มันมีที่มาจาก "ตัวตนหลาก มิติของคุณเอง" เมื่อคุณปฏิเสธมัน คุณอาจสูญเสียตัวตนในระดับจิต วิญญาณแก่ซาตานไปแล้วได้สิ่งอื่นที่คุณต้องการมาแทนเช่น ได้ตัวตน ที่ดูแฮปปี้มากๆ ทว่า คุณไมได้บรรลุธรรมอะไรหรอกนะ มันก็แค่เปลี่ยน ตัวตนต่างมิติเท่านั้น และแย่ไปกว่านั้นคือ ตัวตนของคุณแต่เดิมที่มีความ หม่นหมองนั้น กลายเป็นทาสซาตานไปแล้ว เพราะคุณยอมให้มันไปเอง เขาเลยเอาไป คุณต้องการความสุขผ่องใส คุณก็ได้รับมา แต่ทว่า มันก็ มาจากตัวตนในโลกมืดที่แฮปปี้มากๆ เท่านั้นเอง แต่มันไม่ใช่ของดี หรือ ตัวตนที่บรรลุธรรม สว่างไสวอะไรหรอกนะ มันก็แค่ "ตัวตลกตัวหนึ่ง" ที่ ทำให้คุณขำๆ ได้ก็เท่านั้นเอง นี่หละ ผมจึงเริ่มต้นด้วยการเตือนคุณว่ามิ ควรที่คุณจะปฏิเสธ "ความไม่ดีหรืออะไรๆ ในตัวของคุณเองเลย" โอเค?


"พระอรหันต์จอมปลอม" ถูกปั้นโดยซาตาน เมื่อเขาปฏิเสธกิเลสตัวเอง


มันไม่จบแค่นั้นนะซาร่าห์ เพราะคนมากมายที่อยากได้อรหันต์และคิดจะ ตัดกิเลส หรือทำให้มันหมดไปนั้น พอเขาเพียรพยายามแรกๆ มันยังไม่มี อะไรเข้าตาซาตาน เขาก็ไม่สนใจ รอก่อน รอให้มันพยายามต่อไป ให้มัน มีบารมีมากอีกหน่อย โตพอเก็บเกี่ยวได้อีกหน่อย พอได้ที่ละ ซาตานก็จะ แลกเปลี่ยนให้ โดยเอา "จิตภาคแบ่งส่วนที่มีกิเลส" ไปเป็นทาสในภพมืด แล้วเอาตัวตนที่เป็นบริวารโลกมืดเข้ามาแทนที่ ให้มีหัวโขนที่ดูเหมือนกับ พระอรหันต์เลย เขาก็เลย "ปั้นพระอรหันต์ได้" อย่างไรละ? นั่นน่ะ ไม่ใช่ พระอรหันต์อะไรหรอก แค่คนที่แลกเปลี่ยนจิตวิญญาณกะซาตานไปโดย ที่ไม่รู้ตัวก็เท่านั้นเอง พอสูญเสียจิตวิญญาณภาคแบ่งส่วนที่มีกิเลสไป ก็ เหลือแต่ส่วนที่ใสบริสุทธิ์มากๆ ไร้กิเลส ก็เลยคิดว่าบรรลุธรรมละตูแล้วก็ ตามมาด้วยการ "ถูกแทรกด้วย จิตวิญญาณฤษี ภาคมืด" ทำให้หลงคิด ไปว่า "ฉันบรรลุได้ด้วยมรรควิธี, ด้วยสมาธิ, ด้วยเหตุนั้นเหตุนี้ฯ" ไม่น่ะ ซาร่าห์นั่นมันไม่ใช่วิถีการบรรลุธรรมอะไรเลย นิพพานไม่มีเหตุเกิดได้นะ ถ้านิพพานมีเหตุเกิดได้ มันก็ต้องดับได้ด้วยเหตุนั้น พระศาสดาตรัสเรื่อง นี้ชัดเจน พระอัสสชิก็บอกแก่พระสารีบุตรแต่แรกพบเลย นิพพานนั้นมัน ไม่มีเหตุเกิด แล้วใครจะไปสร้างเหตุเพื่อให้เกิด ให้ได้นิพพานได้เล่า ใน เมื่อมันเป็นเช่นนั้นเอง มานานแล้ว ไม่ใช่แต่ในอดีตเท่านั้น ไม่ว่าปัจจุบัน หรืออนาคต ก็เหมือนเดิม เช่นเดิมเช่นนั้น ไม่ขึ้นกับกาลและสถานที่ใดๆ อีกด้วย คือ ไม่ต้องนั่งขี่ม้าไปเมืองนิพพานที่ไหนหรอกจ๊ะ มันไม่ได้ขึ้นกะ ภพอยู่แล้ว มันจะหาที่ หาบริเวณ หาอาณาเขต หาเมือง หาสวรรค์วิมาน อะไรได้ที่ไหนกะนิพพานเล่า? โอ้ย มีสาระมากไป ขอโทษๆ ไม่ได้เจตนา


คนมีปัญญาเขายอมรับทุกอย่างได้ทั้งนั้นแหละ ใครสอนให้ปฏิเสธกิเลส?


อาวละ คนที่มีปัญญาเขาจะเห็นชัดว่า "ทุกสรรพสิ่งเป็นธรรมะ ธรรมชาติ" ทีนี้ เมื่อเขายอมรับในธรรมะ ธรรมชาติ เขาจะไปปฏิเสธ หรือไม่เอาอะไรงั้น หรือ? ไม่เลย แม้แต่กิเลส, อวิชชา, ทุกข์, ขันธ์ห้า ฯลฯ อะไรต่อมิอะไร นั้น ก็ธรรมะ ธรรมชาติทั้งนั้น คนมีปัญญาก็คือคนที่ยอมรับความจริงครับ แล้ว อะไรคือความจริงละ? แหม ทุกอย่างมันก็จริงหมดแหละ เพียงแต่มันจริงที่ มิติไหน? จริงแบบใด? เช่น จริงแบบโลกๆ, จริงแบบสมมุติๆ, จริงตามฝัน, จริงตามจินตนาการ, จริงตามการโกหก หรือว่าจริงแบบวิมุติ ฯลฯ อาวละ มันก็จริงกันทั้งนั้น เพียงแต่เป็น "ความจริงในมิติที่ต่างกัน ก็เท่านั้นเอง" ก็ ไต่ระดับไปให้เลยระดับมิติที่ ๕ ก่อนนะจ๊ะ แล้วจะเข้าใจความจริงในแบบนี้ เองละจ้า ดังนั้น การเริ่มต้นไปอ่านตำรา เขาว่ามาว่ากิเลสไม่ดี เป็นของทำ ให้เกิดผลเลวร้ายอะไร? มันก็เกิดทัศนคติเชิงลบ เอนเอียงไปแล้ว แล้วมัน ก็เอาจุดเริ่มต้นจาก อวิชชา จากความเอนเอียงนี้แหละ ไปปฏิบัติ มันก็เลย เข้าทางซาตานซะเลย มันไม่ใช่ "มรรค" ที่แท้จริงหรอก ตื่นได้แล้วนะจ๊ะ!


ยอมรับซะเหอะ เราต่างก็มีตัวตนที่บ้า, ห่วย, เลว, มืด ฯลฯ กันทั้งนั้น


อาวละ ทีนี้ ตัวตนในมิติต่างๆ ของคุณๆ ทั้งหลายนั้น ถูกพระผู้สร้าง สร้างมาให้ครบองค์ทุกมิติ เพื่อให้คุณเข้าใจเพื่อนมนุษย์ทุกคน และ ทุกแบบ ดังนั้น เราทุกคนจึงมี "ตัวตนทุกแบบทุกมิติ" ไม่ว่าจะเป็นตัว ตนที่บ้า, ที่หลง, ที่ห่วยแตก, ที่เลว, ที่มืดมน ฯลฯ เรามีกันหมด และ มันเป็นหน้าที่ของเราที่จะมาชำระล้างตัวตนในมิติต่างๆ เพื่อรวบรวม ตัวตนของเราให้เป็นหนึ่งเดียวที่เรียกว่า The one ซึ่งทุกคนสามารถ เป็น The one ได้ ในแบบของตัวเอง เมื่อเขาคนนั้นได้ทำหน้าที่รวบ รวมเศษตัวตนอื่นๆ ในมิติต่างๆ ของตัวเองให้เป็นหนึ่งได้ เขาก็จะเป็น The one ได้ ในแบบของเขาเองได้ แต่ถ้าเราปฏิเสธสิ่งไม่ดีในตัวตน ของเรา เราก็จะสูญเสียตัวตนที่ไม่ดีนั้นไป ทว่า ตัวตนนั้นไม่ดีจริงๆ แค่ ไหน? เช่น เทพหมู อาจไม่ดีที่ขี้เกียจ, เอาแต่กินกับนอน ทว่า เขาก็มี ความเป็นเทพและมีข้อดีอะไรอีกมากมาย ถ้าคุณเสียเขาไปแล้วคุณก็ จะสูญเสียส่วนดีของเขาไปด้วย และนั่น ก็ไม่ใช่วิถีของผู้มีปัญญาหรือ บรรลุธรรมอะไรเลย เป็นวิถีของคนโง่ที่เสียอะไรไปยังไม่รู้ตัวตะหากละ


ถึงเวลาใช้ "ความบ้า, ห่วย, เลว, มืด ฯลฯ" อย่างผู้มีปัญญากันแล้ว


อาวละ ทีนี้ ก็ถึงเวลาที่เราจะหันมาใช้ทุกอย่างที่เราได้รับมาจากธรรม ชาติของเรา อย่างผู้มีปัญญา คำว่าอย่างผู้มีปัญญานั้น ย่อมใช้อย่างมี สติ มีปัญญา ไม่มากเกินไป ไม่น้อยเกินไป มีคำกล่าวว่า "ถ่อมตนเกิน ไปคือ ความทนงตนอย่างหนึ่ง" นั่นแหละ อะไรที่มันมากเกินไปหรือว่า น้อยเกินไป มันก็ไม่ใช่วิถีของผู้มีปัญญาทั้งนั้น แม้แต่ความดี, ความมี เมตตา ถ้ามากเกินไป ก็กลายเป็น "ตรงข้ามได้" นะจ๊ะ เช่น ถ้าแม่นั้น รักลูกมากเกินไป อาจทำให้เด็กอ่อนแอ นั่นกลายเป็นว่าแม่ทำร้ายเด็ก ก็ได้? โอเค? มันมากเกินไปไงละ มันไม่พอดีไงละ นั่นแหละ ความดีก็ มีพิษได้เหมือนดีนกยูงไงล่ะ ทีนี้ เมื่อมีปัญญาแล้วก็เห็นชัดอย่างนั้นว่า ทุกสรรพสิ่งก็คือ ธรรมะ ธรรมชาติ อยู่แล้ว เป็นเช่นนั้นเองอยู่แล้ว หามี ความถูก, ผิด, ดี, ชั่ว, บวก, ลบ ฯลฯ ในสิ่งนั้นๆ เองไม่ มันคือ ธรรมะ ธรรมชาติล้วนๆ ที่บริสุทธิ์ในตัวของมันเอง ไม่จำเป็นต้องปรุงแต่งให้มี ความถูก, ผิด, ดี, ชั่ว, บวก, ลบ ฯลฯ อะไรๆ อีก มันก็จบสมบูรณ์แล้ว


"ความบ้า, ห่วย, เลว, มืด ฯลฯ" ล้วนเป็นธรรมชาติที่มีหน้าที่ของมันเอง


เอาละ ทีนี้ "ความบ้า, ห่วย, เลว, มืด ฯลฯ" ทั้งหลาย ก็ล้วนเป็นธรรมะ, ธรรมชาติที่มีหน้าที่ของมันเอง มีเหตุผลในตัวเอง ที่มันต้องมี, ต้องเกิด, หรือว่าต้องดับไป ก็ตามที เป็นเช่นนี้เองตามธรรมชาติ โดยไม่ต้องให้คน ไปทำกรรมให้มัน "เกิดขึ้นหรือดับไป" ก็หาไม่ นั่นคือ ไม่ใช่หน้าที่อะไร? ที่เราจะต้องไปทำให้อะไรมันดับเลย เราไม่จำเป็นจะต้องไปตัดกิเลส หรือ ว่าทำกรรมอะไรให้อะไรมันสิ้นไป สูญไปเลย เพราะมันก็เป็นของไม่เที่ยง อยู่ในตัวมันเองแล้วทั้งนั้น มันเป็นธรรมะ เป็นอนิจจัง เป็นตัวที่เกิด แล้วมัน ก็เป็นตัวที่ดับ จบของมันเอง ทุกอย่างมันก็แค่ลีลาทางธรรมะ ธรรมชาติที่ มองเปลือกนอกแล้วเห็นสมมุติเป็น "มายาหลอกหลอนเกิด-ดับ" วนเวียน ไปอยู่นั่น ทั้งหมดที่เห็นนี้ "ล้วนไม่ใช่วิมุติ ล้วนไม่ใช่นิพพาน" มันเป็นแค่ เปลือกนอก เป็นแค่สมมุติ เป็นแค่ภาพมายา หาใช่ความจริงแท้ไม่ ก็เท่านี้ แท้แล้วมันจริงอยู่แล้วทั้งนั้น แท้แล้วมันนิพพานอยู่ในตัวเอง อนิจจังอยู่ใน ตัวมันเอง ทุกอย่างอยู่แล้วทั้งนั้น ไม่ใช่สาระอะไรที่เราต้องไปทำกรรมใดๆ ให้มันเป็นอะไร อย่างไรไปเลย พระพุทธเจ้าก็แค่แสดงสิ่งที่เป็นจริงอยู่แล้ว มันก็จริงอยู่แล้ว โดยที่เราไม่ต้องไปทำอะไรเลย มันก็จริงของมันอย่างนั้น แล้วนี่เราจะต้องไปทำอะไรๆ กะมันอีกเล่า? ในเมื่อมันก็เป็นธรรมอยู่แล้วนี่


"ความบ้า, ห่วย, เลว, มืด ฯลฯ" ล้วนมีค่า ขายให้ซาตานได้ทั้งนั้น?


สุดท้าย อยากจะเตือนท่านไว้ว่า "ความบ้า, ห่วย, เลว, มืด ฯลฯ" ล้วน มีคุณค่าในตัวมันเอง เฉกเช่นเดียวกันกับคนบ้า, ห่วย, เลว, มืด ฯลฯ ก็ มีคุณค่าในตัวเองเช่นกัน และมันก็ขายให้ซาตานได้ด้วยละ เช่น ถ้าคุณ ไม่อยากได้ความเหลวไหลห่วยแตกแล้ว คุณเอาไปขายให้ซาตาน มันก็ จะเอาตัวตนส่วนที่มีความเหลวไหลห่วยแตกของคุณไป ไม่ว่าตัวตนนั้นๆ จะอยู่ในมิติใดก็ตาม แล้วคุณก็อาจได้สิ่งที่คุณต้องการมาได้ จากการได้ แลกเปลี่ยนกันครั้งนั้น ดังนั้น ถ้าคุณยังไม่ต้องการให้ตัวตนหลากหลาย มิติของคุณต้องลงไปกองรวมกันที่ "ภพมืด" ละก็ คุณก็ควรระวังการไม่ ยอมรับใน "ข้อด้อย, จุดอ่อน, สิ่งไม่ดี" ในตัวคุณเองด้วย เพราะสิ่งเหล่า นี้ "ล้วนเชื่อมโยงเป็นหนึ่งเดียวกันในทุกมิติ" แม้ว่าการกระทำของคุณนี้ จะปรากฏเฉพาะในมิติของคุณ แต่มันมีผลแน่นอนในทุกๆ มิติ รวมทั้งตัว ตนอื่นๆ ของคุณด้วย ที่อาจตกเป็นเหยื่อของคุณเองได้ แน่นอนว่ามันอาจ ทำให้ตัวตนปัจจุบันของคุณได้อะไรมามากมาย อย่างที่ไม่น่าเชื่อว่าจะมี จะเป็นไปได้ เช่น คุณอาจชนะคดีได้โดยที่ไม่น่าเชื่อเลย อะไรแบบนี้ ทว่า คุณกำลังสูญเสียตัวตนในหลากหลายมิติของคุณไปทีละตัวตนๆ หรือไม่?


จบซะที..


11 ต.ค. 2555

"เสียงจากสามประสาน"
รับสื่อสารโดย

瑠璃王

  • Digg
  • Del.icio.us
  • StumbleUpon
  • Reddit
  • RSS

0 comments:

Post a Comment