ทุกส่วนในบล็อกนี้ ไม่สงวนลิขสิทธิ์ อุทิศแล้วเพื่อปวงชน. Powered by Blogger.
RSS

มารู้จักกับ "องค์ธรรมมารดา-บิดา" และลักษณะของสัตว์โลกในแต่ละยุคกันเถอะ?

สวัสดีครับ วันนี้ ผมอยากจะเล่าเรื่อง ของ "องค์ธรรมมารดา" และ "องค์ ธรรมบิดา" สององค์ที่เป็น "ต้นสาย ในการให้กำเนิดปวงสัตว์แต่ละยุค" นะครับ ซึ่งมันจะมาพ่วงกับการโปรด สัตว์ของพระพุทธเจ้าแต่ละพระองค์ อีกที เอ? เรื่องมันเป็นมายังไง เกี่ยว กันได้ยังไง ตรงไหน เอ้า มาดูกันครับ


"องค์ธรรมบิดา" และ "องค์ธรรมมารดา" คือ ต้นสายแห่งปวงสัตว์ในยุค


อย่างแรกที่ท่านควรเข้าใจคือ ปวงสัตว์ทั้งหลายที่ได้จัดสรรให้มาเกิดเป็น "มนุษย์โลก" ในแต่ละยุค จะมาจาก "สายบุญบารมีขององค์ธรรมมารดา และองค์ธรรมบิดา" ร่วมกัน ดังนั้น พวกเขาจะมี "บุญกรรมทำแต่ง" ให้มี ลักษณะรอยกรรม รอยบุญคล้ายองค์ธรรมมารดา และองค์ธรรมบิดาครับ เช่น ถ้าองค์ธรรมบิดาติดกรรม "มักฆ่าสัตว์" เช่น เคยเกิดเป็น เสือ บ่อยๆ ปวงสัตว์ที่มาเกิดในยุคนั้นก็จะคล้ายๆ กัน คือ เป็นสายพันธุ์เสือมาเกิดเช่น กันครับ เรียกว่า "มาทั้งต้นสายต้นกระกูล" กันเลยทีเดียว ดังนั้น การโปรด "องค์ธรรมบิดา" ซึ่งต่อมาจะมาเกิดเป็น "พุทธบิดาในชาติสุดท้าย" และ "องค์ธรรมมารดา" ซึ่งจะมาเกิดเป็น "พุทธมารดาในชาติสุดท้าย" จึงเป็น เครื่องรับประกันได้ว่าพระพุทธเจ้าองค์นั้นจะโปรดสัตว์ในยุคนั้น ได้หมดนะ ครับ อนึ่ง ท่านควรเข้าใจก่อนว่า "ปวงสัตว์ในยุคนั้นๆ" จะไม่ได้มีกำเนิดมา จากพระพุทธเจ้าองค์นั้นนะครับ แต่มาจากองค์ธรรมบิดา-องค์ธรรมมารดา ดังนั้นจึงสำคัญมากที่พระนิตยโพธิสัตว์ต้องกตัญญูและโปรดพ่อและแม่ให้ ได้ครับ เพราะถ้าทำไม่ได้ ก็จะโปรดสัตว์ทั้งหลายในยุคนั้นๆ ไม่ได้ด้วยครับ


"องค์ธรรมบิดา" และ "องค์ธรรมมารดา" คือ องค์กำเนิดมิใช่องค์โปรด


ต่อไปที่ท่านควรเข้าใจคือ องค์ธรรมบิดาและองค์ธรรมมารดา จะเป็นองค์ กำเนิดคือผู้ให้กำเนิดปวงสัตว์ทั้งหลายที่ได้รับจัดสรรมาให้เกิดเป็นมนุษย์ ในยุคนั้น แต่ท่านจะไม่ใช่ "องค์โปรด" ทว่า ท่านอาจทำหน้าที่เหมือนเป็น องค์โปรด ก็ได้ ถ้าพระนิตยโพธิสัตว์องค์นั้นเกิดใน "ตระกูลพราหมณ์" นี่ ก็เป็นเพียงหน้าที่ของพราหมณ์เท่านั้นเอง ไม่ใช่ว่าท่านจะโปรดสัตว์ได้ถึง นิพพานนะครับ เพราะองค์ที่จะโปรดถึงนิพพานได้มีแต่พระพุทธเจ้าเท่านั้น ดังนั้น องค์ธรรมมารดา และองค์ธรรมบิดา เป็นอีกส่วนหนึ่ง ที่ไม่ใช่ "พระ บุตร" (นิตยโพธิสัตว์) แต่ท่านทั้งสามนี้ จะบำเพ็ญบารมีร่วมกันมา อย่าง ยิ่งยวด จนแทบแยกแยะไม่ออกเลยว่าใครเป็นใคร เพราะบำเพ็ญบารมีมา เหมือนกันมากครับ ทำเหมือนกัน แต่ได้ผล ได้ดี ไม่เท่ากัน เท่านั้นเองครับ ท่านทั้งหลาย คงเคยได้ยินใช่ไหม? ผู้บำเพ็ญธรรมหลาบท่าน จะให้ท่าน เรียกเขาเหมือน พ่อและแม่ เช่น อาจารย์พ่อ, พ่อครู, องค์ธรรมบิดา ฯลฯ นั่นแหละ เขาทั้งหลายกำลังบำเพ็ญบารมี เพื่อเป็น "พุทธบิดา กับ พุทธ มารดา" นั่นเอง นอกจากนี้ องค์ธรรมบิดา, องค์ธรรมมารดา อาจมีมาก กว่าหนึ่งองค์ก็ได้ เช่น พ่อเลี้ยง, แม่เลี้ยง ซึ่งอาจจะบำเพ็ญบารมีมาใน สายต่างกัน เช่น มาจากเสือบ้าง, นกบ้าง ฯลฯ ปนกัน ซึ่งถ้าพระพุทธเจ้า โปรดสัตว์ได้วงกว้างมาก ก็จะนำพาปวงสัตว์ไปสู่นิพพานได้มากขึ้นด้วย


"พระนิตยโพธิสัตว์" ที่แบ่งภาคบำเพ็ญผิดไป อาจต้องบำเพ็ญเป็นอื่น


ต่อไปที่ท่านควรเข้าใจคือ ยังมีพระนิตยโพธิสัตว์อีกกลุ่มหนึ่งที่แบ่งภาค บำเพ็ญบารมีผิดพลาด เช่น บางภาคแบ่งของท่านอาจก่อกรรมหนักจน ขวางการตรัสรู้ ก็ได้ และทำให้ภาคแบ่งนั้นๆ ไม่อาจตรัสรู้เป็นพระพุทธ เจ้าได้ เช่น จิ๋นซีฮ่องเต้ แบ่งภาคมาจากพระอสุรินทราหูโพธิสัตว์ แต่ได้ ก่อกรรม "ปิตุฆาต" ไว้ (ฆ่าบิดาตนเอง) ทำให้ไม่อาจจะตรัสรู้สำเร็จเป็น พระพุทธเจ้าได้ ในกรณีนี้ ภาคแบ่งนั้นต้องบำเพ็ญ "มหาโพธิสัตว์" เพื่อ รับใช้ "สุขาวดี" ก่อน แล้วจึงหาหนทางของตนเองใหม่ เพราะไม่อาจที่ จะตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าได้แล้ว นั่นเอง เช่น อาจจะเลือกนิพพานในชาติ สุดท้ายในฐานะ "พุทธบิดา" ก็ได้ หรืออาจจะบำเพ็ญเป็นบิดา ของพระ นิตยโพธิสัตว์บางองค์ รับวิบากกรรมหมดแล้วก็เข้านิพพานในยุคใดยุค หนึ่ง ก็ได้เช่นกัน ซึ่งเหตุการณ์นี้เกิดขึ้นได้บ่อยครั้ง เพื่อจัดสรรให้ตัวตน อื่นๆ ของพระนิตยโพธิสัตว์ (ซึ่งแบ่งภาคออกมาหลายตัวตนมาก) ให้มี หน้าที่, ตำแหน่งที่ต่างกันออกไป นั่นเอง ดังนั้น ในระหว่างบำเพ็ญบารมี จึงมีวิบากกรรมบีบให้พระนิตยโพธิสัตว์ต้องกระทำกรรมหนัก จนเป็นเหตุ ให้ไม่ได้ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้า เช่น ฆ่าบิดา-มารดา, ฆ่าพี่-น้อง ร่วมสาย โลหิต ฯลฯ เป็นต้น กรรมหนักเหล่านี้เป็นเหตุให้ไม่อาจจะได้ตรัสรู้เป็นพระ พุทธเจ้า จำต้องบำเพ็ญบารมีเป็นอย่างอื่นไป แต่กรรมบางอย่าง แม้มาก แต่ไม่กระทบต่อการตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้า ก็มี เช่น ทำสงครามฆ่าคนตาย มากมาย แต่คนที่ฆ่านั้นเป็นอริราชศัตรู อย่างนี้ ไม่ขวางการบำเพ็ญบารมี


"พระนิตยโพธิสัตว์" ที่แบ่งภาคบำเพ็ญผิด จะเข้าหาพระนิตยโพธิสัตว์


ต่อไปที่ท่านควรเข้าใจคือ เมื่อพระนิตยโพธิสัตว์ "ภาคแบ่งใด" บำเพ็ญ บารมีผิดพลาด หลงทาง ไม่อาจตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าได้แล้ว ท่านก็จะ บำเพ็ญบารมีใหม่ ในฐานะอื่น โดยเริ่มต้นจากการบำเพ็ญเป็น มหาโพธิ สัตว์ แล้วเข้าหาพระนิตยโพธิสัตว์องค์อื่นที่ยังมีโอกาสตรัสรู้ได้ จากนั้น ก็จะเลือก "ตำแหน่งที่เหมาะสม" สัก 1 ตำแหน่ง เช่น พ่อบังเกิดเกล้า, พ่อบุญธรรม, พ่อตา ฯลฯ เป็นต้น เพื่อให้ตนได้มีที่อาศัยและสามารถได้ นิพพานได้ในชาติสุดท้าย (เพราะตนไม่อาจตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้า เอง ได้แล้ว) ด้วยเหตุนี้ ท่านก็จะนำพา "ปวงสัตว์ มากมาย" ที่เกี่ยวพันกับ ตน แต่ตนไม่อาจโปรดได้ มาเกี่ยวข้องด้วยกับพระนิตยโพธิสัตว์องค์นั้น ดังนั้น แม้พระนิตยโพธิสัตว์องค์นั้น ไม่ได้ยิ่งใหญ่อลังการ ไม่ได้มีบริวาร มากมาย แต่เพราะสามารถโปรดเขาเหล่านี้ได้ ก็จะได้บริวารตามมาอีก มากมายมหาศาลเลยทีเดียว ดังนั้น พระนิตยโพธิสัตว์แม้ไม่ได้เกิดเป็นผู้ นำประเทศอะไร แต่ถ้ามีจิตกตัญญูต่อบิดามารดา โปรดบิดามารดาที่โปรด ได้ยาก ได้สำเร็จได้ ก็จะได้บริวารมากมายไม่ต่างจากการบำเพ็ญบารมี เป็นผู้นำประเทศเลยทีเดียว เพราะเป็นการโปรด "ผู้นำ" ของเหล่าสัตว์ ทั้งหลาย นั่นเอง เมื่อโปรดผู้นำได้ ผู้นำคนนั้นก็จะไปโปรดบริวารตนต่อไป


ลักษณะนิสัยของสัตว์แต่ละยุคจะมี "องค์ธรรมทั้งสอง" เป็นตัวต้นแบบ


ต่อไปที่ท่านควรเข้าใจคือ สัตว์แต่ละยุคที่ได้รับการจัดสรรให้มาเกิดเป็น มนุษย์จะมี "ลักษณะนิสัยและพฤติกรรม" แตกต่างกันไปในแต่ละยุคซึ่ง จะขึ้นอยู่กับ "องค์ธรรมบิดา และ องค์ธรรมมารดา" เป็นสำคัญว่าท่านมี ลักษณะนิสัยอย่างไร เช่น ถ้าองค์ธรรมมารดา มาจากสัตว์ตระกูล นก ก็ จะมีลักษณะนิสัยคล้ายนก ดังเช่นใน "ภัทรกัป" นี้ มนุษย์โลกทั้งหลาย มาจากองค์ธรรมมารดาในตระกูล "กาเผือก" ทั้งหมด แต่มีบิดาบุญธรรม เป็น "วัว" ดังนั้น มนุษย์จึงมีนิสัยคล้ายนก แต่มีความเป็นอยู่ การหากินที่ เหมือนวัว มันเป็นอย่างไร? เช่น นกจะส่งเสียงร้อง ชอบสื่อสารทั้งวัน ใน คนทั้งหลายที่มาเกิดในกัปนี้ ก็นิยมการสื่อสารกันทั้งวัน, ส่วนวัวจะหากิน โดยการเล็มหญ้า แล้วจึงเอามาเคี้ยวเอื้องภายหลัง ดังนั้น คนในยุคนี้ จึง มักเก็บเล็กผสมน้อยก่อน แล้วจึงเอามาย่อยภายหลังว่าจะนำทรัพย์นี้ ไป ใช้ทำอะไร ก็จะอยู่ได้ แต่ถ้าไม่ทำเช่นนั้น ก็จะมีปัญหาในการดำรงชีพได้ ทว่า แม้ว่าสัตว์ที่ได้เกิดมาเป็นมนุษย์ในยุคนี้ จะมีองค์ธรรมบิดา-มารดาที่ มาจากสายของพระพุทธเจ้าสมณโคดมแล้ว ยังมีสายของพระนิตยโพธิ สัตว์องค์อื่นๆ ด้วย ทำให้มนุษย์โลกมีลักษณะผสมผสานกันหลายแบบได้ แต่มนุษย์โลกแบบที่จะดำรงชีพอยู่บนโลกได้อย่างสันติสุขเรียบง่าย ก็จะ มีลักษณะที่เดินตามรอยขององค์ธรรมบิดา-มารดาของพระพุทธเจ้าองค์ ปัจจุบัน นั่นเอง ซึ่งก็คือ "สายพันธุ์นกและวัว" ดังที่ได้อธิบายมาแล้วนั้น


พระพุทธเจ้าจะเดินตาม "พุทธบิดาทั้งสอง" และโปรดพุทธบิดาทั้งสอง


สุดท้ายที่ท่านควรเข้าใจคือ พระพุทธเจ้าทุกพระองค์จะมีพุทธบิดาผู้ให้ กำเนิดเป็นผู้ให้กำเนิดสังขารร่างกายก่อน แล้วจึงมีพุทธบิดาเลี้ยง ที่ให้ การดำรงอยู่ เช่น พระพุทธเจ้าสมณโคดม มีพุทธบิดาเป็นกษัตริย์สูงส่ง (พันธุ์นก) แต่มีการดำรงอยู่แบบนักบวชเดินดินกินตามพื้น (วัว) เพราะ มีพุทธบิดาเลี้ยงเป็นพราหมณ์ นั่นเอง อนึ่ง ในพุทธประวัติท่านไม่พบว่า มีพุทธบิดาเลี้ยง เพราะนี่เป็น "ตำแหน่ง ทางธรรม" ไม่ใช่ตำแหน่งทาง โลก ท่านจึงมองไม่เห็นสิ่งนี้ แต่สิ่งนี้ก็มีอิทธิพลต่อพระพุทธเจ้า ทำให้มี ลักษณะการดำรงชีพแบบที่คล้ายวัว หรือแบบนักบวชที่เดินบิณฑบาตร เก็บเล็กผสมน้อยไป แล้วจึงค่อยมานั่งฉันกินภายหลัง ซึ่งแบบนี้จะต่าง ไปจากพระพุทธเจ้าศรีอาริยเมตตรัย ที่ท่านจะเกิดในตระกูลพราหมณ์ แล้วจึงได้พบพุทธบิดาเลี้ยงที่อยู่ในสายพันธุ์ตระกูล "เสือ" อีกในภาย หลัง ดังนั้น วิถีชีวิตการดำรงอยู่ของพระพุทธเจ้าแต่ละพระองค์จึงต่าง กันบ้างในรายละเอียดเล็กน้อย เท่านั้น แต่ทุกพระองค์ก็ล้วนนำพาสัตว์ เข้านิพพานได้ทั้งสิ้น ไม่ว่าจะมีวิถีชีวิตการดำรงอยู่คล้ายสัตว์ใดก็ตาม


ขอพลังแสงธรรมแห่งพระธรรมกาย จงส่องนำทางชีวิตท่าน สวัสดี


31 ส.ค. 2555

"เสียงจากพระสาวก"
รับสื่อสารโดย

瑠璃王

  • Digg
  • Del.icio.us
  • StumbleUpon
  • Reddit
  • RSS

0 comments:

Post a Comment